Friday, July 29, 2011

ยืดเส้นยืดสายที่ถูกต้อง


ยืดเส้นยืดสายที่ถูกต้อง


• ขณะยืดเส้นยืดสาย พยายามหายใจลึกๆช้าๆ หายใจเข้าตอนคุณยืดเส้น และหายใจออกตอนคุณผ่อนคลาย



• อย่าเปลี่ยนท่าทางการยืดเส้นยืดสายแบบทันทีทันใด หลังจบการยืดเส้นผ่อนคลายกล้ามเนื้อแต่ละท่า ควรปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติของมัน



• ยืดเส้นยืดสายแต่ละท่า ควรทิ้งเวลาไว้นานประมาณ 15-30 วินาที

Tuesday, July 26, 2011

กลัวอ้วน อย่ากินอาหารรสเค็ม


การรับประทานอาหารรสเค็มทำให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น นอกจากนั้นผลการวิจัยยังพบว่า การรับประทานเกลือในจำนวนสูงจะทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเป็นไขมันมากขึ้น



ดังนั้นยิ่งอินซูลินเพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้ไขมันมากขึ้น หรือทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

Sunday, July 24, 2011

พันธุกรรมไม่สำคัญเท่าพฤติกรรม




แม้ว่าวงการแพทย์ยอมรับว่าพันธุกรรมมีส่วนที่ทำให้คนรุ่นหลังอ้วนตามพ่อแม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป


หลังจากนักวิจัยจากอังกฤษติดตามศึกษาลูกหลานในครอบครัวตัวโต โดยพิจารณาจากน้ำหนักและพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ทำกิจกรรมที่ต้องขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ตลอดเวลาหรืออกกำลังกายเป็นประจำ กลายเป็นคนอ้วนแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ อีก 60 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้กลายเป็นคนอ้วนตามพ่อแม่แต่อย่างใด

Wednesday, July 20, 2011

คุณอ้วนเพราะฮอร์โมนหรือไขมัน??

โรคอ้วนจากฮอร์โมนเกิดได้ทั้งชายและหญิง ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป อยากรู้ว่าตัวเองอ้วนจากฮอร์โมนหรือไขมัน มีวิธีสังเกตง่ายๆดังนี้


1. กินไม่เยอะ แต่ลดน้ำหนักยาก

2. ให้สังเกตที่ตาตุ่ม และหลังเท้า ถ้ามีอาการบวม อาจเป็นไปได้ว่าคุณอ้วนเพราะฮอร์โมน

3. มีภาวะอื่นๆในร่างกายที่ดูแปลกไป เช่น ขนหรือผมร่วงมากเกินไป หรือฮอร์โมนบางตัวอาจทำให้ผู้หญิงมีขนงอกเพิ่มขึ้น

4. สภาพผิวหนังแห้งหรือชื้นผิดปกติ

5. หน้าท้องแตกลายทั้งที่ไม่ได้ท้อง

6. มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย



แม้มีจุดสังเกต บางครั้งหมอก็ไม่อาจฟันธงได้ว่าอ้วนจากฮอร์โมน จำเป็นต้องตรวจเช็คฮอร์โมนเพื่อความชัวร์ จะได้หาวิธีรักษาที่เหมาะสม


ที่มา นิตยสารแพรว

Monday, July 18, 2011

5 ความเข้าใจผิดๆ ในการออกกำลัง

ถ้าคุณหาเวลาและพยายามที่จะออกกำลังแล้ว คุณก็ต้องการเห็นผล แต่ก็เช่นเดียวกับคนออกกำลังอีกจำนวนมาก เจตนาที่ดีของคุณบางอย่างทำลายการออกกำลังของคุณก็ได้ กำจัดข้อผิดพลาดที่พบกันบ่อยเหล่านี้ซะ แล้วคุณจะผอมเพรียวลงและแข็งแรงขึ้น—ได้อย่างรวดเร็วกว่า

1. เติมพลังงานมากเกินไป

คนที่ออกกำลังทุกวันส่วนใหญ่มักชอบกินอาหารแท่งให้พลังงานหรือสปอร์ตดริ๊งก์ เพราะคิดว่าของเหล่านี้จะให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่มันให้ก็คือแคลอรี ทำให้คุณอาจกินหรือดื่มเข้าไปตั้ง 700 แคลอรีได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ออกกำลังไปเพียงแค่ 200 แคลอรีเท่านั้น ถ้าคุณต้องการกินอะไรสักหน่อยเพื่อเพิ่มพลัง กินแค่ผลไม้หรือถั่วสักหน่อยกับน้ำก็พอแล้ว

2. คิดว่าแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว

คนจำนวนมากเชื่ออย่างผิดๆ ว่า การออกกำลัง 30 นาทีบนลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นใบอนุญาตให้นั่งแช่ไปตลอดทั้งวันที่เหลือได้ ที่จริงแล้วการออกกำลังเป็นการสะสม ยิ่งคุณเคลื่อนไหวมากแค่ไหน คุณก็จะยิ่งได้รับผลดีมากแค่นั้น ฉะนั้น เลิกคิดว่าการออกกำลังว่าคืออะไรก็ตามที่คุณทำเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และเคลื่อนไหวให้มากขึ้นตลอดทั้งวัน

3. ออกกำลังหนักเกินไป

ความหนักเป็นเรื่องดี แต่เพียงแค่เล็กน้อยจะได้ผลมากกว่าที่คิด คนเรามักคิดว่าถ้าออกกำลัง ก็จะต้องออกกำลังให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ตลอดเวลา แล้วพวกเขาก็ต้องเลิกไป เพราะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ หรือไม่ก็ไม่อาจทำต่อไปได้ แทนที่จะทำเช่นนั้น ออกกำลังด้วยความหนักปานกลางสัก 45 นาที คุณจะทำอย่างต่อเนื่องได้ง่ายกว่า หรือใช้การออกกำลังแบบอิเทอร์วัล ที่คุณจะเร่งความหนักให้มากขึ้นเป็นช่วงๆ

4. แบ่งแยกสมาธิ

การมีสิ่งรบกวนสมาธิเล็กน้อย เช่น ทีวี สามารถทำให้เวลาการออกกำลังดูเหมือนจะผ่านไปเร็วขึ้น แต่เป็นการรบกวนมากเกินไปสำหรับการออกกำลังของคุณ กิจกรรมใดก็ตามที่ต้องมีการใช้สมาธิ เช่น การอ่านนิยายหรือบทความยาวๆ ต้องการความสนใจและสมาธิจากคุณ ทำให้ร่างกายคุณช้าลงโดยไม่รู้ตัว ทางออกที่ดีกว่าก็คือ หาบางอย่างที่ช่วยให้คุณจดจ่อกับการออกกำลัง เพลงที่สนุกสนานเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด

5. ให้รางวัลมากกว่าความพยายาม

คนส่วนมากที่ใช้อาหารเป็นรางวัล ได้รับแคลอรีมากกว่าที่พวกเขาใช้ไป ถ้าคุณจะใช้ขนมหรืออาหารค่ำดีๆ เพื่อเป็นตัวล่อให้ตัวเองก้าวต่อไปเรื่อยๆ ก็ให้รางวัลตัวเองบ่อยน้อยลงหน่อย สักเดือนละครั้ง ถ้าคุณออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และสำหรับรางวัลที่บ่อยกว่านั้น เปลี่ยนเป็นการซื้อของให้ตัวเองแทนการกินจะดีกว่า

ที่มา Lisa

Friday, July 15, 2011

ลดน้ำหนักตัว ด้วยมะเขือเทศ

นสพ.ชื่อดังของ อังกฤษเผย ช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยวได้ดี …


ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโภชนาการพบว่ามะเขือเทศเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วนได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปพยายามลดอาหารและปล้ำออกกำลังจนหน้าดำหน้าแดงเลย


หนังสือพิมพ์ราย วัน “เดอะ เดลี่ เอกซ์เปรสส์” ชื่อดังเมืองอังกฤษ รายงานว่า นักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับสตรี 17 คน โดยให้กินแซนด์วิชที่ทำด้วยขนมปังขาว ชนิดที่มีหัวผักกาดแดง หรือมะเขือเทศเป็นไส้เป็นอาหาร


ปรากฏผลว่าผู้ ที่กินแซนด์วิชที่ประกบมะเขือเทศ จะพากันรู้สึกอิ่มทนนานที่สุด และไม่ค่อยไปหาของขบเคี้ยวกินพร่ำเพรื่อ อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อ้วนอย่างหนึ่ง ดร.จูซี่ เลิฟโกรฟ์ หัวหน้าโครงการ วิจัยเชื่อว่า เป็นเพราะมะเขือเทศมีส่วนประกอบที่ไปปรับระดับฮอร์โมน ซึ่งทำให้รู้สึกหิวเสียใหม่ได้ จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว


“แม้จะยังไม่ อาจบอกได้ว่า ส่วนประกอบที่สำคัญเป็นอะไร แต่มันก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง” ดร.จูซี่ บอก


ที่มา ไทยรัฐ

Wednesday, July 13, 2011

ขาใหญ่ เพราะทานอาหารรสเผ็ด รู้หรือไม่

เมนูอาหารรสเผ็ดจัดจ้าน ทั้งหลายมักจะเป็นที่โปรดปรานของคุณผู้หญิง ทั้ง ส้มตำ ยำ ต้มยำ ลาบ น้ำตก แถมคุณผู้หญิงหลายๆ คนยังเข้าใจว่าเมนูเหล่านี้นั้นเป็นเมนูยอดนิยมในการลดความอ้วนอีกด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่า เมนูเหล่านี้ ล้วนเป็นเมนูที่กลับทำให้คุณผู้หญิงที่ชอบทานอาหารประเภทนี้นั้นต้องประสบกับปัญหา ขาใหญ่โดยไม่รู้ตัวค่ะ


อาหารรสเผ็ดจัดจ้านนั้น มีทั้งรสเปรี้ยว เผ็ด หวาน ซึ่งจะกลบรสเค็มไว้ด้วย ซึ่งความเค็มนั้นมาจากโซเดียมซึ่งมีคุณสบบัติอุ้มน้ำ ไว้ในเนื้อเยื่อ และน้ำในนั้นมักจะไหลสู่ที่ต่ำเสมอ จึงเป็นปัญหาทำให้คุณผู้หญิงที่ชอบทานอาหารรสเผ็ดจัดจ้านหรือผู้หญิงไทยส่วนใหญ่จะมีขาใหญ่ เพราะอาหารไทยมีรสแซ่บ เผ็ดจัดจ้านนั่นเอง เลยทำให้พฤติกรรมในการทานอาหารของคุณผู้หญิงไทยกลายเป็นความเคยชินด้วยนั่นเอง และอีกอย่างดังที่บอกตั้งแต่ต้นคะว่า หลายๆ คนคิดว่าเมนูอาหารเหล่านี้เป็นเมนูลดความอ้วน เพราะเข้าใจว่าทานแล้วผอม ซึ่งคุณผู้หญิงอาจจะผอมเฉพาะช่วงบนจริงค่ะ แต่กลับอ้วนลงขาแทนซะเนี่ย ซึ่งการจัดการกับปัญหานี้ก็คือ ไม่ควรทานอาหารที่มีลดเค็ม และ รสเผ็ดจัดจ้านบ่อยเกิน ไป ควรทานอาหารประเภทผักผลไม้เยอะๆ และควรหมั่นออกกำลังกาย เบิร์นไขมันกล้ามหน้าท้อง เนื้อสะ โพก และขาอยู่เสมอค่ะ

อีกวิธีหนึ่งกับการจัดการปัญหาขาใหญ่อีกวิธีนอกจากการลดอาหารรสแซ่บ เผ็ดจัดจ้านลงนั้น คือการนวดกดจุดนั่นเอง ซึ่งเป็นการนวดเข้ามาช่วยอย่างตรงจุด ด้วยวิธีการนวดน้ำเหลือง นวดเอาน้ำที่บวมคั่งในกล้ามเนื้อขาออกไปทางระบบน้ำเหลือง โดยจะถูกขับออกมาโดยทางปัสสวะ ซึ่งจะทำให้ขาของคุณผู้หญิงค่อยๆ เล็กลงได้นั่นเองค่ะ


ที่มา ladyvisa.com

Sunday, July 10, 2011

เคล็ด(ไม่)ลับ 5 วิธี หน้าท้องแบนเรียบ

ปัญหามีหน้าท้องที่ไม่พึงประสงค์ สาวๆหลายคนใฝ่ฝันอยากจะมีหน้าท้องที่แบนเรียบ เพื่อเวลาที่ใส่เสื้อผ้าจะได้ดูดีไม่ต้องกังวลใจว่าใส่แล้วจะมีส่วนที่ไม่ พึงประสงค์ยื่นออกมา มีเคล็ด(ไม่)ลับ ของนางแบบสาว ซ่าร่า เล็กจ์ มาฝากสาวๆ ให้มีหน้าท้องที่แบนเรียบ สุขภาพดี แถม ฟิตแอนด์เฟิร์ม อีกต่างหาก

1. "เต้น" เพราะการเต้นนานถึงหนึ่งชั่วโมงจะสามารถเผาผลาญแคลลอรี่ ได้ถึง 400 แคลลอรี่ ที่เด็ดสุดคือจะช่วยให้เรามีรูปร่าง เอวเป็นเอวมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่ชอบแอบเต้นอยู่ในห้องคนเดียว ก็รีบไปหาลงคอร์สเต้นเลยดีกว่า และขอแนะนำ คอร์ส belly dance ตรงจุดกันไปเลย

2.เปลี่ยนเก้าอี้ที่ชอบใช้นั่งดูทีวีเป็นลูกบอลลูกโตที่เค้าใช้เล่นกันในฟิตเนสกัน เพราะเวลาที่เราต้องนั่งอยู่บนลูกบอลให้ได้ ต้องบังคับการทรงตัวและเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณท้องไปโดยอัตโนมัติด้วย

3. Sit-up หลายคนอาจได้ยินจนเบื่อแล้ว แต่ยังไงก็เป็นท่าที่ดีสุดของการจะมีหน้าท้องแบนเรียบ อาจไม่เห็นผลทันทีที่ทำแต่ได้ผลแน่นอนหากทำอย่างต่อเนื่อง ควรทำอย่างต่ำวันละ 10-15 ครั้ง และท่าที่ดีคือให้เอามือจับติ่งหูตอน sit up

4. พอเราทำ sits up มาได้สักระยะหนึ่ง จนเริ่มอยู่ตัวแล้ว ลองเพิ่มการบิดข้าง ปกติแล้วเราจะยกตัวขึ้นตรงไปที่หัวเข่า แต่ทีนี้เวลาขึ้นให้บิดตัวไปทางซ้ายทีและลง ขึ้นมาบิดทางขวาอีกที วันละ 10-15 ครั้ง รับรองว่า curve เอวของคุณจะชัดขึ้น

5. แขม่วหน้าท้อง ขอบอกเลยว่าวิธีนี้สาวซ่าร่าทำประจำจนติดนิสัย ไม่ว่าจะเดินไปเรียน ไปมหาวิทยาลัย หรือทำอะไรก็ตาม ก็สามารถทำได้ นอกจากได้เดินออกกำลังกายแล้ว หน้าท้องเราก็ได้ด้วยเช่นกัน คอนเฟิร์มว่าเวิร์ก

ขอบคุณที่มา: http://www.centerpointmagazine.com/

Thursday, July 7, 2011

สูตรลดน้ำหนักใน 7 วัน

สูตรนี้บางคนทำแล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัมใน 7 วันเลยนะคะ ลองเอาไปทำตามดู
แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเราด้วยนะคะ ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ ค่ะ ใจแข็งพอรึเปล่าคะ

วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 4
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ

วันที่ 5
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส

วันที่ 6
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม

วันที่ 7
มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ

Monday, July 4, 2011

ลดน้ำหนักกับนิสัยแบบเกาหลี

รักษารูปร่างกันง่าย ๆ ด้วยเทคนิคและการกินอาหารแบบแดนโสม

อาหารเกาหลีนั้นมีสารอาหารที่สมดุล ทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ง่าย และปริมาณคอเลสเตอรอลก็จำกัด โดยทั่วไปนั้น การกินแบบเกาหลีจะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต "ดี" จากผักและข้าว 70% โปรตีน 14-17% และมีไขมันประมาณ 13% เมื่อเปรียบเทียบกับการกินของฝั่งตะวันตกซึ่งมักจะมีไขมันถึง 30-40% และน้ำตาลอีก 15%

1. กินผักให้เรียบ อาหารเกาหลี อย่างเช่น Bibimbap (ข้าวยำเกาหลี) และ Onmyeon (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ) มีผักสีสันต่าง ๆ มากมาย ทั้งผักป่าและผักสวนครัว และแม้ว่าคุณจะสั่ง Bulgogi (เนื้อวัวหมักย่าง) ก็มักจะมีผักเป็นเครื่องเคียง (โดยที่ไม่ต้องขอ) การกินผักเยอะๆ จะทำให้ท้องเราเต็มไปด้วยใยอาหาร และสารอาหารแคลอรีต่ำจนไม่เหลือที่ในกระเพาะอาหารไว้สำหรับอาหารขยะ

2. ปรุงด้วยรสจัด อาหารเกาหลีมีชื่อเสียงเรื่องรสชาติจัดจ้าน เครื่องเทศหรือพริกต่าง ๆ มักจะถูกนำมาใช้ในอาหารเกาหลีเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าอาหาร แล้วยังช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก เนื่องจากการเติมเครื่องเทศรสจัดจ้านลงไปจะช่วยเร่งอัตราเผาผลาญพลังงานอีกด้วย

3. อย่าลืมกิมจิ กิมจิอาจจะเป็นอาหารที๋โดดเด่นที่สุดของเกาหลี โดยทั่วไปมักทำมาจากกะหล่ำปลีดองหรือกะหล่ำปลีสด แล้วนำมาปรุงรสกับขิง พริกผง และกระเทียม ถึงแม้ว่าจะมีหลากหลายสูตรมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือมันจะถูกนำมากินคู่กันทุก ๆ มื้อ นอกจากนี้ ยังเชื่อว่ากิมจิมีสารอาหารสูงมาก และดีต่อระบบย่อยอาหาร ดังนั้น การกินกิมจิจะช่วยให้ขับง่ายถ่ายคล่องด้วยเช่นกัน

4. ลองโสมเกาหลีดูสิ เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่เกาหลีอ้างว่ารากโสมมีสรรพคุณมากมาย รวมถึงช่วยในการลดน้ำหนัก อันที่จริงแล้ว Seoul Department of Internal Medicine เปิดเผยว่าโสมเกาหลีอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งนี่อาจจะช่วยควบคุมความอยากน้ำตาลได้ด้วย หากใครไม่อยากดื่มชาโสม ก็น่าจะลองซุปไก่ใส่โสมตามแบบเกาหลีดู บางทีอาจลดน้ำหนักได้เร็วกว่าที่คิดนะคะ

5. กินช้า ๆ ปกติแล้วการกินอาหารเกาหลี สำรับมักจะมาเป็นวงมากกว่าเป็นสำรับของแต่ละคน และการกินอาหารกับคนหมู่มากก็ทำให้เรากินช้าลง สมองก็จะมีเวลาสั่งการว่าอิ่มแล้วนะ เราจึงกินน้อยลง


ที่มา lisa

Friday, July 1, 2011

ดื่มนมตอนเช้า อิ่มยาวถึงมื้อกลางวัน



นักวิจัยชาว ออสเตรเลียทำการศึกษากับผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 34 คน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงสุขภาพดี (น้ำหนักเกินแต่มีสุขภาพดี) โดยผู้เข้าร่วมจะทำการทดสอบ 2 รอบ รอบแรกผู้เข้าร่วมจะดื่มนมปราศจากไขมันประมาณ 20 ออนซ์ และอีกรอบจะได้รับเครื่องดื่มจากผลไม้ (โดยเครื่องดื่มทั้งคู่จะมีปริมาณของแคลอรีประมาณ 250 แคลอรี่ของอาหารมื้อเช้า) ต่อจากนั้นในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง ระหว่างอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ผู้เข้าร่วมทุกคนจะต้องได้รับการประเมินเกี่ยวกับความรู้สึกอิ่ม และยังได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารกลางวันได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

ผลการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มนมจะมีความรู้สึกอิ่มแปล้ และอิ่มยาวนานกว่าปกติส่งผลให้รับประทานอาหารกลางวันลดลง (จำนวนแคลอรี่ลดลง) เมื่อเทียบกับการดื่มน้ำผลไม้ ซึ่งนักวิจัยคาดคะเนว่าผลของความอิ่มที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากปริมาณของโปรตีน ในนม ปริมาณของแลคโตส หรืออาจจะเกิดจากความหนาแน่นของนมที่มีบทบาทช่วยให้ผู้ที่บริโภคนมรู้สึก อิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการเลือกรับ ประทานอาหารที่ช่วยเติมเต็มความอิ่มอย่างเต็มที่ให้ กับกระเพาะอาหารและร่างกาย ย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญ และเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้เช่นเดียวกัน


ข้อมูลจาก sanook.com