Saturday, August 9, 2014

กรุ๊ปเลือดอะไรควรและไม่ควรรับประทานอะไร

กรุ๊ป O
ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย

แต่ มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้

ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี


กรุ๊ป A
กลุ่ม เลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็น อาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด

ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง

ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ


กรุ๊ป B
พวก ที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้

แต่ก็ใช่ว่าจะ มีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A

ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

กรุ๊ป AB
มา ถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ

แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย

อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น

รู้ อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่

Friday, August 8, 2014

7 สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี

เป็นธรรมดาที่คนเราต้องมีวันที่อารมณ์เสีย หรือหงุดหงิดกันบ้าง...แต่ทราบไหมคะว่าเราสามารถแก้ไขอารมณ์
บูด ๆ ของเราด้วยอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันได้ด้วย

...Susan Moores โฆษกจากสมาคมโภชนาการของอเมริกา และที่ปรึกษาด้านสารอาหารในเซนต์ปอล กล่าว“ประจำวันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์ เพราะนอกจากอาหารจะให้พลังงานแล้ว ยังสร้างเซโรโทนิน ซึ่งเป็นเคมีในสมองทำให้จิตใจคุณสงบและเย็นขึ้น ดังนั้นเมื่อคนเราเลือกอาหารที่ดี อารมณ์ของเราก็จะดีไปด้วย”

นอกจาก นั้นมัวร์ยังกล่าวว่า เดี๋ยวนี้คนหันมานิยมการรับประทานอาหารแบบโลว์คาร์โบไฮเดรต (การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแต่น้อย) กันมากเป็นเหตุให้มีผลทางด้านอารมณ์ เพราะคาร์โบไฮเดรตจะมีผลต่อการสร้างเซโรโทนิน เมื่อเราขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตอารมณ์ของคนเราก็เปลี่ยนไปด้วย...และถ้าคุณอยาก เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหล่าคุณหมอเขาใช้ในการบำบัดคนไข้ค่ะ

ปลาซัลมอนและแม็กคาเรล
ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นซัลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้าน อนุมูลอิสระด้วย

คาโนลาออยล์ (Canola Oil)
เป็นน้ำมันจากดอกคาโน ลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาซัลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน

ผักโขมและถั่วสด
ใน ผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสด ๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่...ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว Chickpeas

เป็น อาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้เพราะ มีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า
ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อย

ไก่
เป็น อาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับ เราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้น

Thursday, August 7, 2014

วิธีกินฟาสท์ฟู้ดส์แบบห่วงใยสุขภาพ







ถ้าสาวๆ เป็นปลื้มกับฟาสท์ฟู้ดส์จนตัดกันไม่ขาด หรือจำเป็นต้องกิน ก็มีวิธีกินฟาสท์ฟู้ดส์แบบห่วงใยสุขภาพจากสมาคมโรคหัวใจสหรัฐมาบอกกัน

- เลือกสั่งอาหารแค่พออิ่ม อย่าสั่งขนาดบิ๊กไซส์หรือขนาดจัมโบ้ เพราะยิ่งใหญ่ น้ำตาล เกลือ โซเดียม และไขมันก็ยิ่งแยะ

- แทนที่จะสั่งเครื่องเคียงเป็นเฟรนช์ฟรายหรือของทอด ก็สั่งเป็นสลัดผักแทน

- ไม่ควรสั่งแฮมเบอร์เกอร์แบบดับเบิ้ลที่มีเนื้อสองชิ้นประกบกัน เพราะเนื้อที่เอามาทำแฮมเบอร์เกอร์มักจะเป็นเนื้อส่วนเลวซึ่งมีแต่ไขมัน การกินแบบดับเบิ้ลจึงเท่ากับเรารับไขมันเข้าไปคูณสอง มีแต่อ้วนกับอ้วน

- อย่าสั่งเบอร์เกอร์ชนิดที่มีเบคอนประกอบด้วย เพราะเป็นการเพิ่มไขมันและแคลอรี่เข้ามาอีกโดยไม่จำเป็น แถมเบคอนยังแทบจะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรเลย

- ถ้าเป็นไปได้ควรจะสั่งเบอร์เกอร์ไส้เนื้อปลา จะมีคุณค่าอาหารมากกว่าและไขมันก็น้อยกว่าไส้เนื้อด้วย

- เครื่องดื่มที่ดีที่สุดในร้านคือน้ำเปล่า หรือนมไขมันต่ำ ส่วนพวกน้ำอัดลมนั้นมีแต่จะเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายของเรา

สูตรสร้างตัวเองเป็นคนใหม่ใน 14 วัน

ถ้าคุณกำลังเบื่อตัวเอง เบื่อการเจ็บออดๆแอดๆ หรือรู้สึกว่ากำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว เดินเหินเชื่องช้า กระง่องกระแง่ง ความจำเสื่อม

ที่สำคัญที่สุด คุณกำลังเบื่อไปหมดทุกอย่าง ชีวิตมันช่างแห้งแล้งเสียนี่กระไร

ถ้า เป็นอย่างนั้น จัดการกับตัวคุณเดี๋ยวนี้เลย ก่อนอื่นลองส่องกระจกมองตัวเองอย่างเต็มตาเสียที พิจารณาดูซิว่า หน้าตาของเราเป็นอย่างนี้หรือ แววตาของเราแห้งมากมายอย่างนั้นเชียวหรือ ผิวหน้าของเราก็แห้งมีรอยย่น

ทำไมหน้าตาท่าทางของเพื่อนรุ่นเดียวกับเราไม่เป็นอย่างนี้ และยังไปไหนมาไหนคล่องแคล่ว หน้าตาเขาก็ไม่เหี่ยวแห้งเศร้าสร้อยอย่างของเรา

เราจะเป็นอย่างคนอื่นเขาได้ไหม คิดได้อย่างนี้ คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดแล้ว

เพราะ หนึ่ง คุณได้รู้จักตัวเอง สอง เมื่อคุณเปรียบเทียบกับคนอื่น คุณไม่ได้อิจฉาเขา แต่คุณรู้ว่าการเปรียบเทียบทำให้คุณรู้สภาพธรรมดาทั่วๆไปของสุขภาพ เมื่อมองในกระจก คุณอาจบอกตัวเองได้ว่า คุณกำลังตกต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไป

เมื่อรู้จักคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ลองยิ้มให้ตัวคุณเองในกระจกเสียหน่อย เห็นไหม หน้าตาของคุณสดใสน่าดูขึ้นมาทันตาเห็น

เอาละ ทีนี้ก็มาช่วยให้คนในกระจกตรงหน้าคุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาเสียที

ไม่ ต้องรอ เริ่มเดี๋ยวนี้เลย หากระดาษปากกามาเริ่มทำโปรแกรมตั้งแต่วันพรุ่งนี้จนถึงวันที่ 14 ด้วย "สูตรสร้างตัวเองให้เป็นคนใหม่ใน 14 วัน"


เตรียมตัว

แน่ ละ เมื่อคุณคิดจะเปลี่ยนตัวเองจากที่เคยเป็นมาหลายปี คุณต้องการเวลา ต้องการการเตรียมตัว ต้องเตรียมเรื่องอาหาร เครื่องไม้เครื่องมือ และต้องการการเตรียมใจของคุณด้วย
จดลงในกระดาษเลยว่า แต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง จากนั้นเริ่มเตรียมทุกอย่างสำหรับคุณตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย
อันดับแรกสุดคือ เตรียมเรื่องอาหารเสียก่อน ซื้อข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ผัก และข้าวต่างๆสำหรับทำน้ำอาร์ซี
ช่วงแรกประมาณ 5 วัน คุณต้องทำอย่างเข้มงวด คนที่ทำงานประจำควรต้องลางานติดต่อกัน 5 วันให้ได้


เริ่มรายการ

อาหาร

งดน้ำชา กาแฟ บุหรี่ใช้ดื่มน้ำชาสมุนไพรแทน

ถ้าคุณน้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม อาจทดลองเอา ท็อกซิน ออกจากตัวให้มากๆเสียหน่อย ด้วยการ :

วันแรก
งด อาหาร แต่ควรจะดื่ม น้ำอาร์ซี หนึ่งแก้วตอนเช้ามืด เมื่อตื่นนอนแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะนาวสดๆคั้น 4 ลูก ต่อจากนั้นให้ดื่มน้ำอาร์ซี.แทนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตลอดทั้งวันควรจะดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อย 4 แก้วหรือมากกว่านั้น
ควร เริ่มล้างของเก่าที่สะสมในร่างกายด้วยการ การล้างพิษ สำหรับท่านที่คิดว่ามีท็อกซินอยู่ในตัวมาก ก็น่าจะล้างพิษออกให้ครบอย่างน้อย 4 วิธี คือ วิธีสวนทวารในตอนเช้า วิธีอบ วิธีออกกำลังกาย และวิธีใช้เอนไซม์หรือสมุนไพร
การสวนทวารล้างพิษควร ทดลองทำเสียก่อนตั้งแต่วันแรก ถ้ารู้สึกสบายตัว ให้ทำต่อไป อาทิตย์ละ 5 วัน เว้น 2 วัน (14 วันก็หมายความว่าทำดีท็อกซ์ 10 ครั้ง) แต่ถ้าไม่สบายตัว อึดอัด ไม่ควรทำต่อไป


วันที่ 2-3-4
เริ่มรับประทานอาหารตาม สูตรชีวจิต โดยให้รับประทานอาหารอ่อนก่อน เช่น ข้าวต้มกับจับฉ่าย ระหว่าง 3 วันนี้ควรเป็นอาหารอ่อน ข้าว ผัก และเห็ด และเป็นอาหารรสธรรมชาติ ไม่ปรุงรสจัด น้ำตาล และรสหวาน ตลอด 3 วัน


วันที่ 5-6-7
รับประทานข้าวสวยหรือขนมปังโฮลวีทได้ แต่ก็ยังเป็นอาหารอ่อนอยู่ คือ ข้าวสวย ผัก และเห็ด


วันที่ 8-14
รับ ประทานอาหารตามสูตรชีวจิตได้เต็มที่ มีปลาหรืออาหารทะเลเพิ่มได้ 1-2 ครั้ง ดื่มน้ำคั้นจากผักหรือ น้ำเอนไซม์ เช่น น้ำแตงกวาสลับกับน้ำเซเลอรี่ ครั้งละ 1 แก้ว ตอนสายๆหรือบ่าย หลังอาหาร 2 ชั่วโมง


หลังจากวันที่ 4 อาจรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมก็ได้ ในกลุ่มแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ
วิตามิน A 10,000 I.U.
วิตามิน C 1,000 mg
วิตามิน D 1,000 I.U.
วิตามิน E 400 I.U.
เซเลเนียม 50 ไมโครกรัม


ผู้ที่อายุเกิน 50 ขึ้นไป และอยู่ในเมืองใหญ่ๆซึ่งมีมลพิษมาก ควรเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุดังนี้
เลซิติน 1,200 mg
จิงโกะ 60 mg
สังกะสี 50 mg
อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ 500 mg (สำหรับผู้หญิง)
วิตามิน B1 50 mg

ร่างกาย

นอน 3 หรือ 4 ทุ่ม ตื่นตี 5 ทุกวัน
หัดวิธีหลับสนิทจากชีวจิต เพื่อให้ “โกร๊ธ ฮอร์โมน” หลั่งด้วย ถ้านอนหลับได้สนิทอย่างนี้ วันละ 5 ชั่วโมงก็เหลือเฟือแล้ว
ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการทำ Relaxaion
ออก กำลังกายทุกเช้า ด้วยวิธีไหนก็ได้ ขอให้ “โกร๊ธ ฮอร์โมน” หลั่งเป็นใช้ได้ คือ เหงื่อออกโทรม หัวใจเต้นแรง ชีพจนเต้นระหว่าง 100-120 ครั้งต่อนาที
ทุก คืนก่อนนอน ขอให้ทบทวนการปฏิบัติตามข้อที่หนึ่ง ว่าทำไปแล้วอย่างไร ก้าวหน้าหรือถอยหลังไปกว่าเดิม วันต่อไปจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร

สิ่งแวดล้อมในบ้านและที่ทำงาน

หาต้นไม้ ดอกไม้ ไม้ใบ (ต้นไม้จริง ไม่ใช่พลาสติก) วางไว้ในบ้านและห้องทำงาน
อย่าใช้พรมปูเต็มห้อง ถ้าจำเป็นต้องเอาพรมตากแดดทุกอาทิตย์
ให้ของใช้ในห้องนอน เช่น เตียง ผ้าคลุม หมอน ได้รับแสงแดดอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เปิดหน้าต่างให้อากาศระบายทุกวัน
ระวังยาฆ่าแมลง ให้ใช้น้อยที่สุด หรือไม่ใช้เลย
วิถี ชีวิตต้องให้เข้ากับธรรมชาติ ที่อยู่อาศัย อากาศโปร่ง การระบายน้ำและของโสโครกต้องสะอาด น้ำต้องบริสุทธิ์ ชีวิตประจำวันเข้ากันได้ดีกับสิ่งแวดล้อม

จิตใจ

ฝึกวิธีคิด วิธีทำใจเสียใหม่ วิธีคิดคือ การคิดในทางบวก ทำใจให้เบิกบาน และใช้สติกับสมาธิกำกับใจอยู่ตลอดเวลา
รัก เพื่อนของท่านให้เท่ากับรักตัวเอง ทุกวันมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งคน ให้ความรักแก่เพื่อน แล้วคุณจะได้ความรักกลับคืนเป็นสองเท่า

Wednesday, August 6, 2014

ทำไมเราถึงหาว


อาการหาว น้ำตาไหล น้ำมูกไหล เกิดจากปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกาย อาจมาจากการที่สมอง

ขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ หรืออาจได้รับก๊าซคาร์บอนมอนน๊อกไซต์มากเกินไป


แต่หากไม่อยากหาวบ่อย ๆ ก็ลองพยายามหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เคร่ง


เครียด หลีกเลี่ยงจากมลพิษ และอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก รับรองอาการหาวของ

คุณจะค่อย ๆ ลดลง


แต่หากลองแล้วยังไม่ได้ผล ยังหาวอยู่เรื่อย ๆ วันละไม่ต่ำกว่า 30 ครั้งล่ะก็ แนะนำให้ไปพบแพทย์ตรวจ

ร่างกายดีกว่า เพราะการหาวบ่อย ๆ แบบนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับลักษณะการ

นอนและระบบทางเดิน หายใจเข้าแล้ว



ข้อมูลหนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Monday, August 4, 2014

แก้อาการง่วงนอนหลังอาหาร

นักบริหารระดับสูงต่างยอมรับกันว่า "การประชุมหลังอาหารประสิทธิผลต่ำที่สุด" เนื่องจากหลังอาหาร การย่อยและการดูดซึมอาหารของอวัยวะภายในกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น เลือดที่หล่อเลี้ยงสมอง ส่วนใหญ่ถูกลำเลียงลงมาสู่อวัยวะส่วนล่าง ฉะนั้น การทำงานของสมองในช่วงนี้จึงไม่ค่อยเฉียบไว กระฉับกระเฉงเท่าที่ควร

วิธีบริหารเท้าตอนหลังอาหารอยู่วิธีหนึ่ง เพื่อกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว


อุปกรณ์ ที่สำคัญ คือ ไม้จิ้มฟันใช้ยางรัดให้เป็นมัด แล้ววางบนหลังนิ้วหัวแม่เท้า กับนิ้วนางเท้าทั้งสองข้าง โดยใช้แรงกดนิดหน่อย จุดสำคัญในการกระตุ้นนี้ อยู่ข้างเล็บนิ้วหัวแม่เท้าและข้างเล็บนิ้วนางเท้า จุดที่นิ้ว หัวแม่เท้านี้ เรียกว่าจุดอิ่นไป่แสว ซึ่งมีความสัมพันธ์ กับสมองอย่างใกล้ชิด ส่วนจุดที่ข้างเล็บ นิ้วนางเท้านั้น เรียกว่าจุดเชี่ยวอินแสว ก็มีความสัมพันธ์กับ ระบบการย่อยอาหาร อยู่มากทีเดียว

เนื่องจากเพียงแต่ต้องการจะขับไล่อาการง่วงนอนเท้า นั้น จึงมีบางคนอาจจะเข้าใจว่า กระตุ้นสมอง ก็พอแล้ว แต่ความจริงนั้น ถ้าหากเราทำการกระตุ้นสมอง เพียงจุดเดียว เลือดก็จะไหลเวียน ขึ้นสู่สมองมาก ทำให้ประสิทธิภาพ การทำงานของระบบ การย่อยลดต่ำลง และในไม่ช้า เลือดก็จะไหลเวียน ไปสู่อวัยวะ ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ต่อไปตามปกติ ในที่สุดก็จะเกิดอาการง่วงนอนอีก

ดังนั้นส่วนสมองกับระบบการย่อย จึงต้องกระตุ้นไปพร้อมกัน เพื่อให้โลหิตไหลเวียนไป อย่างสมดุล จึงจะแก้อาการ ง่วงนอนที่ได้ผล

เวลา กระตุ้น ให้เอามือกดที่บริเวณจุดที่จะทำการกระตุ้นนั้นก่อนแล้วจึงทำการกระตุ้น ทั้งนี้เพื่อที่จะ ช่วยให้ แรงกระตุ้น ส่งผลไปถึง อวัยวะส่วนที่มีความสัมพันธ์นั้นๆ ได้ผลดียิ่งขึ้น เวลาทำการกระตุ้น จะต้องถอด รองเท้า ถุงเท้าเสียก่อน

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)

อาหารก็รักษาโรคได้

1.ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อมๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอมก็ได้ มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ (ปลากระป๋อง) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง


7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสี ช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดีโดยเฉพาะรำข้าว กะหล่ำปลีช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มากเพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเออยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16. แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี โมโรอันแซตเทอเรต ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว คลอเลสเตอรอล ได้

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วย สร้างความสมดุลภายในร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ ได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง

Friday, August 1, 2014

สูตรขัดผิวสำหรับผิวแพ้ง่าย







สูตรขัดผิวสำหรับผิวแพ้ง่าย


สูตรขัดผิวสูตรง่ายๆ เหมาะสำหรับผิวเบาะบางแพ้งายค่ะ


ส่วนผสม........แอ๊ปเปิ้ลเขียว 1ลูก, ข้าวสารบด 2ช้อนโต๊ะ,น้ำผึ้ง 2ช้อนโตะ,ชาเขียว 1ช้อน,นมสด


เอาส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นรามกัน.....แล้วเอามาขัดตัว พอกทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยล้างออก


เราก็จะได้ผิวนุ่มแล้วคะ.......ลองไปทำกันดูนะ

สาวพันปี แนะวิธี สวยอมตะ






อายุ 50 ปีแล้ว แต่ยังแจ๋ว เป็นสาวพันปี

สำหรับ เจ๊จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ที่เจ้าตัวบอกว่า "ภูมิใจค่ะ เพราะเราดูแลร่างกายตัวเองมาตลอด ทำ

จิต ใจให้ดี ไม่คิดร้ายต่อใคร ออกกำลังกาย ทำตัวเองให้มีความสุข อยากทำอะไรทำ อย่าง 1 ปีที่ผ่าน

มาเราไม่กินสัตว์ที่มีหัวใจ และก็มีควบคุมน้ำหนัก อย่างวันไหนที่กินเยอะก็จะออกกำลังกายมากหน่อย

และการพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นการดูแลตัวเองที่ดีที่สุด



นอกจากนี้ เรื่องจิตใจก็มีส่วนมากที่ทำให้ดูดีไม่แก่ อย่างตัวเองจะจัดเวลาไม่ให้ว่าง เมื่อไม่ว่างก็จะไม่

เหงา เพราะเมื่อไรที่เหงา มันจะห่อเหี่ยว และเมื่อห่อเหี่ยวก็จะแก่ ความเหงาเป็นสาเหตุของความแก่ค่ะ"


"ไม่ได้สวยพันปี แต่เป็นคนที่สวยตลอดค่ะ" สาวเซ็กซี่วัย 44 ปี แอน-อังคณา ทิมดี แย้ง เมื่อถูกถามถึง

สาวสวยพันปี


จาก นั้นก็บอกเคล็ดลับความสวยว่า "มันต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง คือถ้าเกิดรูปร่างดีแต่สุขภาพไม่ดี

ก็ไม่ได้ และถ้าสุขภาพไม่ดีมันก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าสุขภาพดี จิตใจดี มันช่วยชะลอความแก่ได้แน่นอน

และตัวแอนเองเป็นคนที่ควบคุมดูแลร่างกายตลอด แอนเน้นออกกำลังกาย และแค่ออกกำลังกายอย่าง

เดียวไม่พอ ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วย แอนเลิกกินแป้ง น้ำตาล และข้าวขาวมาตั้งแต่อายุ 38

แล้ว รวมทั้งอาหารเส้นทุกอย่าง ยกเว้นวุ้นเส้นค่ะ"